วารสารการพยาบาลและสุข าพ สสอท. https://rsujournals.rsu.ac.th/index.php/ajnh วารสารการพยาบาลและสุข าพ สสอท. เป็นวารสารทางวิชาการที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย (Open Access) มีผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละสาขาเป็นผู้.... Subcommittees on Nursing Science, APHEIT en-US วารสารการพยาบาลและสุข าพ สสอท. 2697-4622 <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารการพยาบาลและสุข าพ สสอท. ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> <p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูป าพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการพยาบาลและสุข าพ สสอท. ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารการพยาบาลและสุข าพ สสอท. หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมด หรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ หรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารการพยาบาลและสุข าพ สสอท. ก่อนเท่านั้น</p> การเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริง https://rsujournals.rsu.ac.th/index.php/ajnh/article/view/3821 <p><em>ปัจจุบันสถาบันการศึกษาพยาบาลใช้วิธีการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริงมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติในสถานการณ์จำลองที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงในคลินิกมากที่สุดเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ อีกทั้งยังมีการอ ิปราย ายหลังเสร็จสิ้นสถานการณ์จำลองซึ่งช่วยให้ผู้เรียนสะท้อนคิดถึงเหตุการณ์ในสถานการณ์ เหตุผลในการตัดสินใจปฏิบัติ ความรู้สึกขณะปฏิบัติ และมี าพจดจําจากสถานการณ์ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติจริง เกิดเป็นความรู้ที่คงทนมากกว่าการฟังการบรรยาย การดูการสาธิต และการสาธิตย้อนกลับ กระบวนการเหล่านี้จึงเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาพยาบาล ช่วยพัฒนาทักษะการตัดสินใจทางคลินิก ความคิดอย่างมีวิจารณญาณ และเกิดความมั่นใจก่อนไปฝึกปฏิบัติการพยาบาลกับผู้ป่วยจริง อย่างไรก็ตามการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้มีกระบวนการที่อาจารย์ผู้สอนต้องปฏิบัติตามหลายขั้นตอน ตลอดจนการเลือกใช้ประเ ทของอุปกรณ์และหุ่นจำลองให้เหมาะสมกับสถานการณ์และวัตถุประสงค์รายวิชา จึงเป็นความท้าทายต่ออาจารย์พยาบาลและสถานบันการศึกษาพยาบาลที่จะต้องดำเนินการให้เกิดประสิทธิ าพต่อผู้เรียนให้ได้มากที่สุด บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสถาบันการศึกษาพยาบาลและสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องในการนำสถานการณ์จำลองเสมือนจริงไปใช้ในการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิ าพแก่ผู้เรียน </em></p> ณัฐพล ยุวนิช ธนัสมัญญ์ เหลืองกิตติก้อง นิธิมา คันธะชุม ู ระวินันธ์ ธัชศิรินิรัชกุล จรัสศรี อัธยาศัย ศศิพินทุ์ ศุ มนตรี บัวพล ##submission.copyrightStatement## http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-28 2025-08-28 7 2 e3821 e3821 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความร่วมมือในการใช้ยาสูดขยายหลอดลมในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง https://rsujournals.rsu.ac.th/index.php/ajnh/article/view/3752 <p><em>การวิจัยเชิงทำนาย เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความร่วมมือในการใช้ยาสูดขยายหลอดลมในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจำนวน 222 ราย เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามความร่วมมือในการใช้ยา ความกังวลจากการใช้ยา การรับรู้ความจำเป็นต่อการใช้ยา ความพร้อมในการใช้ยา และการสนับสนุนทางสังคม เครื่องมือได้ผ่านการตรวจสอบคุณ าพจากผู้ทรงคุณวุฒิ และมีการทดลองใช้โดยผ่านเกณฑ์ที่ยอมรับได้ทุกชุด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกแบบไบนารี</em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความร่วมมือในการใช้ยาร้อยละ 94.14 ความกังวลจากการใช้ยา และความพร้อมในการใช้ยา มีความสัมพันธ์กับความร่วมมือในการใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = .046 และ p &lt; .001 ตามลำดับ) โดยความพร้อมในการใช้ยาเป็นปัจจัยเดียวที่สามารถทำนายความร่วมมือในการใช้ยาได้ร้อยละ 32.6 (R² = .326, p &lt; .001) กลุ่มที่มีความพร้อมในการใช้ยาระดับปฏิบัติสม่ำเสมอและคงไว้มีความร่วมมือในการใช้ยามากกว่ากลุ่มที่มีความพร้อมระดับการปฏิบัติ 32.64 เท่า (OR = 32.64, 95% CI = 8.35-127.54, p &lt; .001) ดังนั้นพยาบาลควรประเมินความพร้อมในการใช้ยาของผู้ป่วยเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการใช้ยาอย่างมีประสิทธิ าพ</em></p> ศรีสมร ไตรสุนทร วารินทร์ บินโฮเซ็น น้ำอ้อย ักดีวงศ์ ##submission.copyrightStatement## http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-27 2025-08-27 7 2 e3752 e3752 ประสิทธิผลของโปรแกรมการให้ความรู้และการแนะนำผ่านการประชุมครอบครัวต่อความเครียดและการยอมรับของผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายโรงพยาบาลหลังสวน https://rsujournals.rsu.ac.th/index.php/ajnh/article/view/3637 <p><em>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความเครียดและการยอมรับของผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ก่อนและหลังได้รับ</em><em>โปรแกรมการให้ความรู้และการแนะนำผ่าน</em><em>การประชุมครอบครัว กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายโรงพยาบาลหลังสวน จำนวน 30 คน โปรแกรมการให้ความรู้และการแนะนำผ่านการประชุมครอบครัวสำหรับผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย พัฒนามาจากแนวคิดการประชุมครอบครัวและการสื่อสารเพื่อการดูแลแบบประคับประคอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยแบบสอบถาม </em><em>3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไป 2) ข้อมูลความเครียดของผู้ดูแล และ 3) ข้อมูลการยอมรับของผู้ดูแล ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาของข้อมูลความเครียดและการยอมรับของผู้ดูแลได้เท่ากับ 0.82 และ 0.96 ตามลำดับ และค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สัมประสิทธ์แอลฟ่าครอนบาคเท่ากับ 0.86 และ 0.91 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติอนุมาน paired t-test </em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่าหลังการเข้าร่วม</em><em>โปรแกรมการให้ความรู้และการแนะนำผ่าน</em><em>การประชุมครอบครัว ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายมีความเครียดต่ำกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมฯ และมีการยอมรับสูงกกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 (</em><em>t = 16.56&nbsp; และ 12.93 ตามลำดับ)</em></p> <p><em>การวิจัยครั้งนี้บ่งชี้ว่า โปรแกรมการให้ความรู้และการแนะนำผ่านการประชุมครอบครัว มีประสิทธิ าพในการนำไปใช้ลดความเครียดและเพิ่มการยอมรับของผู้ดูแลต่อส าพการเจ็บป่วยของผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณ าพชีวิตของผู้ป่วยและผู้ดูแลในอนาคต</em></p> กัญญา ัทร ศึกวัฒนา คพร กลิ่นหอม ##submission.copyrightStatement## http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-28 2025-08-28 7 2 e3637 e3637 ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริงในการพยาบาลผู้ป่วยประคับประคองของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร https://rsujournals.rsu.ac.th/index.php/ajnh/article/view/3715 <p><em>การวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลต่อการใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงในการพยาบาลผู้ป่วยประคับประคอง โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีสององค์ประกอบของ </em><em>Herzberg วิเคราะห์ปัจจัยจูงใจ (ด้านเนื้อหาและด้านผู้เรียน) และปัจจัยค้ำจุน (ด้านครูผู้สอน ด้านการจัดการเรียนการสอน และด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 48 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินความพึงพอใจที่มีค่าความเชื่อมั่น .91 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่านักศึกษามีความพึงพอใจโดยรวมในระดับมากที่สุด (M = 4.50, SD = .13) โดยความพึงพอใจทุกด้านของปัจจัยจูงใจอยู่ในระดับมากที่สุด พบว่า ความพึงพอใจด้านเนื้อหามีค่าเฉลี่ยสูงสุด (M = 4.58, SD = .34) รองลงมา คือ ด้านผู้เรียน (M = 4.55, SD = .22) สำหรับปัจจัยค้ำจุน พบว่าความพึงพอใจด้านการจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับมากที่สุดและมีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด (M = 4.53, SD = .25) ส่วนความพึงพอใจด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้และด้านครูผู้สอนอยู่ในระดับมาก โดยมีคะแนนเฉลี่ย M = 4.41 (SD = .32) และ M = 4.40 (SD = .25) ตามลำดับ ผลการวิจัยสะท้อนว่าการจัดการเรียนการสอนด้วยสถานการณ์จำลองเสมือนจริงช่วยพัฒนาทักษะการพยาบาล ความมั่นใจในการปฏิบัติงาน และการตัดสินใจทางคลินิกของนักศึกษาได้อย่างมีประสิทธิ าพ</em></p> มิตรา เกิดอินทร์ ราชัน เกษดา เตือนใจ เจริญบุตร ##submission.copyrightStatement## http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 7 2 e3715 e3715 การพัฒนาและประเมินผลแนวปฏิบัติการพยาบาลป้องกันการถอดท่อช่วยหายใจโดยไม่ได้วางแผนในผู้ป่วยวิกฤต https://rsujournals.rsu.ac.th/index.php/ajnh/article/view/3731 <p><em>การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (</em><em>r</em><em>esearch and development) เพื่อพัฒนาและประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลป้องกันการถอดท่อช่วยหายใจโดยไม่ได้วางแผน (unplanned extubation: UE) กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง จากพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 12 คน และผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม 3 กลุ่ม จำนวน 110 คน คือ กลุ่มก่อน กลุ่มหลังใช้แนวปฏิบัติ จำนวนกลุ่มละ 40 คน และกลุ่มหลังปรับการใช้แนวปฏิบัติ ในหัวข้อการประเมินพฤติกรรมการเคลื่อนไหว จำนวน 30 คน เครื่องมือ คือ แนวปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นจากหลักฐานเชิงประจักษ์ แบบประเมินความรู้การดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกัน UE และแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลต่อแนวปฏิบัติ มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา 0.98, 0.76 และ 0.93 ตามลำดับ </em><em>แบบประเมินความรู้การดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกัน </em><em>UE มีค่าความเชื่อมั่นโดยวิธี KR-20 เท่ากับ 0.85 และแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลต่อแนวปฏิบัติ</em> <em>ค่าความเชื่อมั่นโดยวิธีครอนบาค แอลฟ่า เท่ากับ </em><em>0.84 </em><em>วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย สถิติ </em><em>Fisher exact test </em><em>และ </em><em>r</em><em>epeated measure ANOVA </em></p> <p><em>ผลการวิจัย พบว่าด้านผู้ป่วย กลุ่มหลังใช้แนวปฏิบัติและกลุ่มหลังปรับการใช้แนวปฏิบัติ เกิด UE น้อยกว่ากลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ &nbsp;(p = .01) ด้านบุคลากร พยาบาลมีคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F (2,22) = 16.84, p = .001) เมื่อเปรียบเทียบรายคู่ พบว่าคะแนนความรู้หลังใช้แนวปฏิบัติสูงกว่าก่อนใช้แนวปฏิบัติอย่างมีนัยสำคัญ (p = .031) หลังปรับการใช้แนวปฏิบัติคะแนนความรู้สูงกว่าก่อนใช้แนวปฏิบัติอย่างมีนัยสำคัญ (p =.001) และหลังใช้แนวปฏิบัติอย่างมีนัยสำคัญ (p = .021) ส่วนความพึงพอใจของพยาบาลต่อแนวปฏิบัติอยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 100 </em></p> พนาวรรณ บุญพิมล พัชยา อัศวสงคราม อรนุช เยื้อนแย้ม ชนิศา มีสมปลื้ม เลอลักษณ์ ไล้เลิศ สริตา สินสืบผล ##submission.copyrightStatement## http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 7 2 e3731 e3731