การจัดการปัญหาการลักลอบเข้าเมืองของชนกลุ่มน้อยชาวโรฮีนจา
Abstract
วัตถุประสงค์ของวิจัยในครั้งนี้ เพื่อ ศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ รูปแบบการ และผลกระทบด้านความมั่นคงต่อประเทศไทย จากการอพยพลักลอบเข้าเมืองของชนกลุ่มน้อยชาวโรฮีนจา โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก รวมทั้งชาวโรฮีนจาอพยพ รวมจำนวน 37 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง
ผลการศึกษาวิจัย พบว่า สถานการณ์และรูปแบบการอพยพลักลอบเข้าเมืองของชนกลุ่มน้อยชาวโรฮีนจา แตกต่างทั้งวิธีการและจำนวนโดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา จากเดิมที่หนีการกดขี่ ทารุณกรรมใช้ความรุนแรงขับไล่ออกจากที่อยู่อาศัย การถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การบังคับและถูกกีดกัน จำกัดสิทธิต่างๆ ในพื้นที่อยู่อาศัยเดิม มาเป็นแรงขับจากความขัดแย้งระหว่างชาวเมียนมาร์ในรัฐยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธและชาวโรฮีนจา ต่อมาเป็นแรงกระตุ้นจากเศรษฐกิจที่ดีกว่าและการค้ามนุษย์ โดยมีเป้าหมายที่ประเทศมุสลิม อาทิ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย การอพยพเคลื่อนย้ายลักลอบเข้าเมืองของชนกลุ่มน้อยชาวโรฮีนจายังไม่ส่งผลกระทบในมิติความมั่นคงด้านสังคมและวัฒนธรรมของประเทศไทยในปัจจุบัน ยกเว้นกรณีกระบวนการค้ามนุษย์ที่เกี่ยวข้องเป็นเหตุให้ประเทศไทยตกในภาวะเสี่ยงที่จะถูกกีดกันทางการค้าเป็นตัวลงโทษประเทศไทยให้เร่งแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ ในระยะต่อไปอาจจะเกิดความเสี่ยงด้านโอกาสการเข้าร่วมกระทำผิดใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทำให้ประเทศไทยต้องทบทวนการดำเนินงานแบบตั้งรับที่ดำเนินการมาตลอด และต้องเร่งหากลยุทธ์ในเชิงรุกเพื่อให้เกิดการร่วมรับผิดชอบจากนานาชาติโดยเฉพาะประเทศต้นตอ ด้วยการเริ่มการเจรจากับประเทศเมียนมาร์และประเทศอื่นๆ รวมทั้งการหารือในระดับภูมิภาค เพื่อเข้ามามีบทบาทในการร่วมแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และการหารือกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงหลักอธิปไตยแห่งรัฐ เพราะเกิดผลกระทบข้ามพรมแดนต่อรัฐไทย และกติกาสากลไม่อาจจะแก้ปัญหาได้เด็ดขาดหากต้นตอของปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมประเทศไทยเองนอกจากจะต้องรับภาระในฐานะประเทศกลางทางยังต้องบริหารภาพลักษณ์ของประเทศไทยต่อเวทีโลก ควบคู่กับการจัดการปัญหาการค้ามนุษย์อย่างเด็ดขาดเพื่อมิให้ผู้อพยพกลายเป็นเหยื่อในสถานการณ์อีกต่อไป การเสริมความร่วมมืออย่างเข้มข้นกับองค์การประเทศมุสลิม โดยผ่านองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และรัฐบาลที่เกี่ยวข้องเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวที่ยั่งยืน