ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ของประเทศไทย สู่การเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน
Abstract
กว่าห้าทศวรรษของการส่งเสริมอุตสาหกรรมยายนต์ของรัฐบาลไทยมีผลให้อุตสาหกรรมนี้มีความแข็งแกร่งจนเป็นเศรษฐกิจสาขาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างงาน ถ่ายทอดเทคโนโลยีและ การพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งแบบเชื่อมต่อไปข้างหน้าและข้างหลัง การเปลี่ยนแปลงบริบทของการแข่งขันและเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนแม้จะมีผู้ประกอบการรายใหม่นอกเหนือจากค่ายญี่ปุ่นซึ่งครองตลาดมาตั้งแต่ต้นเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ในประเทศไทย แต่ก็ไม่ทำให้การแข่งขันเป็นเสรีมากขึ้นนัก การรวมเศรษฐกิจระดับภูมิภาคเพื่อเปิดเสรีทางการค้าการลงทุนจะทำให้อุตสาหกรรมสนับสนุนเช่นชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นและพัฒนาไปเป็นฐานการผลิตในระดับภูมิภาค (Hub) หรือไม่เป็นประเด็นสำคัญที่ยังขาดการวิจัยอย่างเป็นระบบ การวิจัยเชิงคุณภาพที่อาศัยข้อมูลทุติยะภูมิจากงานวิจัย แหล่งราชการและสมาคมที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลปฐมภูมิจากผู้ให้ข้อมูลหลักที่อยู่ในราชการ อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และตัวแทนค่ายยานยนต์ทำให้เห็นพัฒนาการในการบริหารอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปควบคู่กับการเปิดฐานการผลิตใหม่จากประเทศไทยไปสู่ประเทศอื่น
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของ “ห่วงโซ่อุปทานยานยนต์” ที่ต้องมีราคาต่ำ คุณภาพตรงตามต้องการ จัดส่งตรงเวลา อยู่ใกล้กับโรงงานประกอบยานยนต์ ซึ่งผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่เปิดดำเนินการอยู่ในประเทศไทยสามารถตอบสนองได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดีการลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่เคยเป็นการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบยานยนต์กับทุนท้องถิ่นของไทยมาเป็นการลงทุนแบบทางตรงโดยผู้ประกอบยานยนต์มากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะทำให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีในอนาคตมาสู่ผู้ประกอบการท้องถิ่นไม่เกิดขึ้น ผลประโยชน์ที่จะเกิดตามมาแก่ทุนไทยนอกจากจะน้อยลงในทางตรงแล้ว การเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียนและการจัดเก็บภาษีให้ประเทศอาจจะลดสัดส่วนลงได้ ผู้ประกอบกิจการที่เป็นทุนท้องถิ่นของไทยจะลดลงเพราะการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในอนาคตต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และใช้เงินทุนสูง การทำชิ้นส่วนย่อยเองของบรรษัทข้ามชาติทั้งในประเทศไทยและการขยายฐานประกอบยานยนต์จะลดโอกาสของทุนไทยให้มีบทบาทในระดับภูมิภาค นอกจากจะมีแนวนโยบายรัฐที่เอื้อต่อการร่วมรักษาผลประโยชน์ที่ไม่กระทบต่อผลประโยชน์ในภาพรวมของทุนต่างชาติ