การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน ของผู้ประกอบการเศรษฐกิจชุมชน จังหวัดเพชรบุรี
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ความได้เปรียบทางการแข่งขัน และผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการเศรษฐกิจชุมชนจังหวัดเพชรบุรี 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่มีผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงาน และ 4) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่มีผลต่อผลการดำเนินงาน การวิจัยนี้ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.969 โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือผู้ประกอบการเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 150 กิจการ ใช้วิธีในการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการห่วงโซ่อุปทานของผู้ประกอบการเศรษฐกิจชุมชนจังหวัดเพชรบุรีมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน ประกอบไปด้วย ด้านกระบวนการวางแผน ด้านการจัดหาวัตถุดิบ ด้านการบริหารคลังสินค้า ด้านการบริหารการผลิตและการแปรรูป และด้านการส่งมอบสินค้า ส่วนความได้เปรียบทางการแข่งขันของผู้ประกอบการเศรษฐกิจชุมชนจังหวัดเพชรบุรีมีค่าเฉลี่ยในระดับมากที่สุดทุกด้านทั้งด้านการสร้างความแตกต่าง ด้านต้นทุน และด้านการตอบสนองอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังพบว่าผลการดำเนินงานมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน 2) การทดสอบสมมติฐานพบว่า การจัดการห่วงโซ่อุปทานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน มีค่าพยากรณ์ได้ร้อยละ 82 และยังพบว่าความได้เปรียบทางการแข่งขันมีอิทธิพลเชิงบวกต่อผลการดำเนินงาน โดยมีค่าพยากรณ์ได้ร้อยละ 85 นอกจากนี้ยังพบว่าการจัดการห่วงโซ่อุปทานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อผลการดำเนินงาน โดยมีค่าพยากรณ์ได้ร้อยละ 86
ข้อค้นพบจากงานวิจัยฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงระดับสมรรถนะของผู้ประกอบการเกี่ยวกับการจัดการห่วงโซ่อุปทานในธุรกิจเศรษฐกิจชุมชนซึ่งเป็นกระบวนการดำเนินงานทางธุรกิจที่มีความสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเศรษฐกิจชุมชน ดังนั้นหากผู้ประกอบการมีสมรรถนะในการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ดีจะทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล อันจะส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขันและการสร้างผลการดำเนินงานที่ดีของธุรกิจเศรษฐกิจชุมชนได้
- บทความทุกเรื่องที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชา (Peer review) ในรูปแบบไม่มีชื่อผู้เขียน (Double-blind peer review) อย่างน้อย ๓ ท่าน
- บทความวิจัยที่ตีพิมพ์เป็นข้อค้นพบ ข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนเจ้าของผลงาน และผู้เขียนเจ้าของผลงาน ต้องรับผิดชอบต่อผลที่อาจเกิดขึ้นจากบทความและงานวิจัยนั้น
- ต้นฉบับที่ตีพิมพ์ได้ผ่านการตรวจสอบคำพิมพ์และเครื่องหมายต่างๆ โดยผู้เขียนเจ้าของบทความก่อนการรวมเล่ม